วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แก๊งรถตู้ลักเด็ก ผ่าเอาอวัยวะ ป้องกันลูกหลาน แชร์ด่วน

"แก๊งรถตู้ลักเด็ก ผ่าเอาอวัยวะ ป้องกันลูกหลาน แชร์ด่วน" อะๆ อ่านให้จบก่อนแชร์นะครับ
หลายๆ คนอาจจะได้รับการส่งต่อภาพ และข้อความจากสังคมออน์ไลน์ หัวข้อประมาณ "แก๊งรถตู้ลักเด็ก ผ่าเอาอวัยวะ ป้องกันลูกหลาน แชร์ด่วน" พร้อมภาพประกอบประมาณนี้

งดแชร์นะครับ เนื่องจากภาพดังกล่าว ภาพและข้อความไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย การที่ส่งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ผลกระทบต่อชายคนดังกล่าวในภาพที่จะโดนประนาม ด่าทอ สาบแช่ง โดยที่สิ่งที่เค้าได้กระทำผิดจริงคือการ วิ่งราว ใช่ครับ เค้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่มันถูกต้องแล้วหรือ ที่คุณไปใส่ร้าย กล่าวหาคนอื่นผิดๆ อย่างนี้ ดีไม่ดี คนๆ นี้อาจจะกลายเป็นไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ เพราะเดินไปไหนก็มีแต่คนตราหน้าว่า เป็นคนร้ายลักพาตัวเด็ก หยุดคิดนิดนะ หากเป็นคนรู้จักคุณเจออย่างนี้บ้าง จะทำไง 

การส่งต่อ การเตือนภัย เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ก็ต้องแจ้งเรื่องที่ถูกต้องด้วย และการตรวจสอบไม่ได้ยากมากนัก อย่างน้อย หากคิดว่าจะคิดว่าส่งต่อด้วยมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมแล้ว การที่มีจิตสำนึกที่ดีจริงๆ นั้น ต้องส่งเตือนในเรื่องจริงที่เหมาะสม ไม่ใช่ส่งข่าวลือ ครับ 

เรื่องเด็กหาย ลักพาตัวเด็ก เป็นเรื่องที่ยังคงเกิดในเมืองไทยอยู่ ลองตรวจสอบ มูลนิธิกระจกเงา ( https://www.facebook.com/Thaimissing )  



วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มะนาว โซดา รักษามะเร็ง บอกต่อได้บุญ ?

สูตรลับรักษามะเร็ง ด้วย มะนาว โซดา รักษามะเร็ง บอกต่อได้บุญ จริงปะ?



ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้รับเมล์และข้อความผ่าน Facebook เกี่ยวกับวิธีการรักษามะเร็งแบบต่างๆ หลากหลายวิธี ส่วนมากเป็นเรื่องของการแนะนำอาหาร และการดูแลสุขภาพ และก็มีหลายๆ เรื่องที่ไม่ได้มีอะไรอ้างอิง ผลสำเร็จทางวิชาการ นอกจากเล่าว่า หรือบางทีก็เป็นบุคคลท่านนั้นพูดเอง รักษาเอง แต่บางทีก็ไม่ได้ลงในรายละเอียดว่า นอกจากการทานอาหาร และดำรงชีวิตตามแนวทางนั้นๆ แล้ว ท่านได้รักษาด้วยวิธีการทานการแพทย์แผนปัจจุบันพร้อมกันไปด้วยหรือไม่ อย่างไร หรือสุดท้ายการพิสูจน์ว่าหาย ก็ใช้วิธีการทางแพทย์แผนปัจจุบันนี้ละ ในการอ้างอิง

แต่ช่วงนี้มีภาพนี้แชร์กันมาก ว่ากิน มะนาวกับโซดา ฆ่ามะเร็งได้ แค่นั้นไม่พอ ยังต่อว่าโดยไม่รู้เอาอะไรอ้างอิง ว่า WHO หรือ องค์การอนามัยโลก (ใช้องค์การนะครับ ไม่ใช่องค์กรณ์) ปิดเพื่อผลประโยชน์ เพื่อขายยาและทำคีโม ไปกันใหญ่

ไม่เข้าใจ ทำไมถึงเชื่อ คนที่เขียน โดยไม่มีอะไรอ้างอิง แถมยังเที่ยวไปด่าคนอื่นอีก คนอย่างนี้ เป็นคนดี หรอ? เป็นคนน่าเชื่อถือ?

ร้ายที่สุด ใช้คำว่า "บอกต่อ ได้บุญะครับ" เพื่อให้คนช่วยๆๆๆๆ กันส่งต่อโดยไม่คิด หรือคิดชุ่ยๆ ว่าส่งไป ใช้ได้ก็ดี ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถ้ามันดีได้บุญแถมอีกต่างๆ ส่งเลย ส่งเลยๆๆๆๆ

อ่านอันนี้ก่อนครับ ส่งต่อไม่ได้บุญครับ แต่ได้บาป โดยไม่รู้ตัวต่างหาก
ที่มาจาก Facebook ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว แล้วหมอแมวเป็นใครหว่า เชื่อได้ไหม ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ อ่านแล้วคงเป็นหมอ ตัวเป็นๆ และอย่างน้อย ก็มีแหล่งที่อยู่ที่พอจะอ้างอิง หาตัวได้ กว่าคนที่ปล่อย ไอ้เรื่อง มั่วๆ แล้วอ้างได้บุญอย่างนี้

โดยมีรายละเอียดดังนี้ ซึ่งเจ้าของเพจดังกล่าว ด่าคนส่งเรื่องนี้อย่างไม่มีชิ้นดีเช่นกัน

มะนาวโซดา ไม่ได้รักษามะเร็ง อย่าหลงเชื่อ อย่าส่งต่อ 

1. ไม่มีงานวิจัยใดในโลกที่ระบุว่าจริง
2. ในนี้บอกว่าช่วยมะเร็งโดยไม่ต้องคีโม 
ถ้ามีคนเชื่อและไปรักษามะเร็งช้า คนที่บอกต่อจะได้บาป
3. WHO เป็นหน่วยงานที่ทำงานโดยคำนึงถึงการรักษาที่ถูกและได้ผล ถ้าจริงเค้าจะบอกต่อ คนที่กล่าวหาเช่นนี้เลวระดับ พระกาฬเรียกเชี่ย

ข้อความก่อนหน้านี้ แค่บอกว่าอาจจะช่วยได้ ดังนั้นหลายคนเห็นว่าตั้งใจดีกันจึงไม่ได้ติติงอะไร 
แต่ในนั้นบอกว่า "ลองทำดู มันช่วยได้โดยไม่ต้องกินยาหรือคีโม"

ไอ้เชี่ย 
บอกให้คนไข้มะเร็งไม่กินยา ไม่คีโม บอกให้ไปกินผัก งดเนื้อสัตว์ 
ถ้าคนไข้มะเร็งคนนั้นเกิดกำลังลังเล และมาอ่าน แล้วลองไปรักษาด้วยมะนาวโซดาเข้า ระยะโรคเปลี่ยน จากที่จะหายกลายเป็นไม่หาย ไอ้คนแต่งมารับผิดชอบไหม 

กล่าวหาองค์การอนามัยโลก ว่าจะขายยาคีโม (คือคนที่คิด เอ็งรู้หรือเปล่าว่าการรักษาหลายอย่างในโลกนี้ที่ราคาถูกแสนถูกเป็นเพราะองค์การอนามัยโลกไฟท์จนมันถูกลง คนเป็นล้านรอดเพราะการทำงานของหน่วยงานนี้) ประเทศอื่นรู้ว่ามีฟอร์เวิร์ดงี่เง่าแบบนี้ด่าWHOมีหวังคนต่างชาติดูถูกคนไทยกันเละเทะ

สรุป มะนาว + โซดา รักษามะเร็งไม่ได้นะครับ (จบแบบสุภาพ)

ปล. สำหรับคนที่แชร์ ผมไม่ได้ว่าท่านนะครับ ผมว่าแค่คนที่แต่งเรื่องแล้วหลอกท่านที่ใจดีทั้งหลายนะครับ
ปอ. ใครสนใจเรื่องในมะนาวมีสารอะไรที่เชื่อว่าฆ่ามะเร็งได้ ไปอ่านได้ที่https://www.facebook.com/HmxMaew/posts/496066700488188ครับ


ฮันแน่ ผมรู้! หลายๆ คนไม่กด link ข้างบนหรอก ไม่งั้นพวก fwd ข้อความโง่ ๆ มันจะชอบเขียนทำไมว่า "ไม่เชื่อค้น google ดูเลย" เพราะมันรู้ไงว่าคนอ่านมันไม่ค้น ผม copy ข้อความจาก link ดังกล่าวมาให้ตามข้างล่างนี้ครับ ไหนๆ ก็หลงมาแล้ว อ่านอีกนิดนะ แล้วพิจารณากันเองครับ ว่าจะยังคงพฤติกรรม ส่งต่อ ได้ บุญ อีกหรือเปล่า 

มะนาวโซดารักษามะเร็งได้จริงหรือ ที่มาคืออะไร ?
0. มะนาวโซดารักษามะเร็งไม่ได้ครับ ไม่มีงานวิจัยใดในโลกที่ทำไว้ (ไม่มีคนที่หายจริงมาโพสท์แบบจริงจังด้วย)
1. ในมะนาวมีสารหลายตัว ทั้งFlavonoid , Limonoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
2. Limonoid เคยมีการวิจัยกันมาตั้งแต่เมื่อประมาณปี2540ว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง (มะเร็งสมอง เต้านม ช่องปาก)
3. ประเด็นคือ ในการทดลอง ความเข้มข้นสูง / สารที่ได้ไม่ได้มาจากมะนาว / ต้องอัดสารเข้าไปโดยตรง 
4. เหมือนกับการทดลองหลายชนิด ปกติสารพวกนี้จะโดนเอาไปทดสอบกับมะเร็งหลายๆแบบ ถ้าแบบไหนใช้ได้ผลก็จะเอาไปทำยา ซึ่งปกติแล้วทดลองไปหลายหมื่นชนิดได้ผล แต่เหลือเอาไปทำยาได้ไม่กี่ตัว 
5. สารสกัดlimonoid ถูกทดสอบมาหลายปีแล้ว แต่เท่าที่หา ยังไม่เจองานวิจัยที่บอกว่าได้ผลจริงแม้แต่ในหนู
6. สารตัวนี้ เคยเป็นกระแสขึ้นมาสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 15 ปีก่อน ทำออกมาเป็นครีมทาปาก อีกครั้ง เอามาผสมBaking Soda (ผงฟู) ดื่มต้านมะเร็ง และเข้ามาในไทยอีท่าไหนไม่รู้ คำว่า Baking หายไป เหลือแต่โซดา 
7. สรุป รักษามะเร็งไม่ได้หรอกครับ ไม่เคยมีงานวิจัยไหนรองรับ 
8. แต่ในขวดน้ำที่อยู่ซ้ายมือผมตอนนี้ มีมะนาวโซดาหนึ่งขวดครับ ... เอาไว้กินลดน้ำหนัก ซึ่งมันคนละประเด็นกับเรื่องมะเร็ง




วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หากท่านใดสนใจอยากเลี้ยงสุนัข ตอนนี้มีสุนัขตำรวจปลดประจำการ โปรดติดต่อ..

"หากท่านใดสนใจอยากเลี้ยงสุนัข ตอนนี้มีสุนัขตำรวจปลดประจำการทั้งตัวผู้ ตัวเมีย อายุ9ปีขึ้นไป รับใช้ชาติมาโชกโชน ดมระเบิด ระวังโจรใต้มาตลอดชีวิต ถูกขังในคอกเฉยๆ รอความตายน่าสงสาร มีทั้งลาบราดอร์ เยอรมันเชพเพิด หากสนใจรับเลี้ยงฟรีนะครับ หรือช่วยส่งข่าวแก่ผู้สนใจช่วยทำบุญกับวีรบุรุษสี่ขาของชาติได้
  ครูฝึกทุกคนเล่าให้ฟังว่าน้องหมาที่อยู่ที่กองพันน่าสงสารกันมาก เค้าดูแลไม่ดีเลย ขังให้อยู่ในคอกอย่างเดียว ไม่มีใครพาไปเดินเล่นเลย เศร้านะได้ยินแบบเนี้ย
   ทุกตัวได้รับการอบรมมาดี อยู่ในระเบียบและเชื่อฟังเจ้าของมากๆ สามารถอยู่ต่อได้อีก4ปีขึ้นไปครับขอบคุณนะครับ เบอร์ติดต่อ
089 ~ xxx xxxx
จะว่าไปแล้วก็ดีนะ ไม่ต้องไปเสียค่าเล่าเรียนให้น้องหมา เป็นน้องหมาที่จบปริญญามาแล้ว เริ่มงานได้เลย"

ข้อความข้างต้นนี้ แพร่กระจายผ่านสื่อสังคมออน์ไลน์ต่างๆ ทั้ง Fackbook line e-mail รวมถึงช่องทางต่างๆ โดยไม่ทราบที่มา คนที่ได้รับ ก็กดส่งต่อ ให้คนรู้จัก และไม่รู้จัก ส่งกันแบบสาธารณะ ด้วยอยากจะช่วยสุนัขตามข้อความที่ได้รับมา

หยุด! หยุดก่อนครับ
1. ลองอ่านดู คิดในมุมกลับบ้าง ว่าถ้าข้อความนี้ไม่เป็นจริง มีใครเดือนร้อนไหม

คิดๆๆ มีแน่ๆ เจ้าของเบอร์นี่ไง และอาจจะรวมไปถึง สุนัขตำรวจจริงๆ ที่อาจจะเดือนร้อน เพราะผู้เลี้ยงจริงๆ ถูกตำหนิ จากเพื่อนบ้าน เพื่อนบนโซเชียล อย่างงง ว่าเค้าเลี้ยง ดูแลเพื่อนคู่ชีวิตนี้ ไม่ดียังไง?
ทำไป ทำมา เจ้าหน้าที่ อาจจะต้องรับโทรศัพท์สอบถามเรื่องนี้ทั้งวัน จนลืมให้อาหาร สุนัขตำรวจเลยก็ได้ (เวอร์มะ)

2. ข้อมูลนี้น่าจะเป็นจริงไหม ..

่เราๆ ท่านๆ ที่อ่านข้อความนี้ แล้วส่งต่อ เกือบทุกคน รักสุนัขครับ แล้วลองคิดซิครับ ว่าหากเป็นท่านที่เป็นผู้ดูแลสุนัขดังกล่าว ที่เสี่ยงชีวิต กิน นอน อยู่ด้วยกัน ยิ่งกว่าเราๆ ท่านๆ อย่างครูฝึก ที่อยู่กับสุนัขเหล่านี้จริงๆ จะรักและผูกพันธ์กันขนาดไหน (คุ้นๆ ว่าเคยฟัง ท่านนึงให้สัมภาษณ์ ประมาณว่า รักยิ่งกว่าลูก กว่าเมีย) เมื่อปลดประจำการ จะยอมปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างที่ข้อความที่ใครก็ไม่รู้ ส่งมาหรือเปล่าครับ ขนาดท่านเอง ที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียงเห่า ของมันเลย ยังเป็นห่วงขนาดเสียเวลา กดคลิ๊กส่ง copy ส่งขนาดนี้ แล้วคนรักกัน ที่อยู่ด้วยกัน จะทิ้งขว้างหรอครับ

เพิ่มเติมข้อมูลจาก page Dogilike



และเพิ่มเติมอันนี้จาก pantip (http://pantip.com/topic/32006164)
-เราอ่านแล้วสงสาร เลย search เนท ดู พบว่า การดูแลสุนัขหลังปลดประจำการก็ดีเยี่ยม (ตามคำบอกเล่าของคนที่ไปรับเลี้ยง : ไม่ได้เหมือน fwd ที่ว่า ไม่ใส่ใจ)
-แต่เราก็เผื่อๆ น้องหมาอยากมีเจ้าของ อ๊ะ เดี๋ยวช่วย fwd ให้ แต่ให้ชัวร์ เลยส่ง sms ไปเบอร์ที่ลง ถามดู
- น้องเค้าตอบว่า เบอร์ส่วนตัว โทรมาเยอะมากกกกเป็นร้อยๆ สาย (ทั้งสงสารน้องเค้า ทั้งดีใจที่คนใจบุญเยอะ 55)

เราเลยโทรหาที่ รร ฝึกสุนัขตำรวจ K9 กรุงเทพ เมื่อกี้ เค้าว่าช่วงนี้ไม่มีนะ ทำเสียงมึนงง ว่าทำไมโทรวันหยุด และ
ถามถึงที่มา เลยอ่านข้อความให้ฟัง เค้าชี้แจงว่า
1. สุนัขตำรวจ มีแต่ตัวผู้ (ใน fwd บอกว่าทั้ง ผู้ และ เมีย : เราก็เพิ่งรู้)
2. คำว่า "กองพัน" ใช้กับ 'ทหาร' เท่านั้น 
(ดังนั้น เดาว่า เป็นสุนัขทหาร : เพิ่งรู้เหมือนกัน มีสุนัขทหารด้วย คุ้นแต่ตำรวจ - 
ที่เราอ่านเจอการรับเลี้ยง คือ ทหารค่ะ)
3. ลงเบอร์มือถือไม่ใช่วิสัย เพราะนี่เป็นเรื่องราชการ ต้องลงเบอร์ราชการ คืนมือถือก็รับสายกันตาย
4. สุนัขตำรวจต้องประมูล เล็กๆ น้อยๆ เหมือนซื้อของราชการ ให้ฟรีเดี๋ยวผิดระเบียบ (ประมาณนี้)

คุณเค้าบอกว่า สุนัขทหารมีที่ ปากช่อง เป็นสุนัขทหารบก แต่สุนัขทหารอากาศ ก็มีที่ดอนเมือง!
แม่เจ้า มีหลายกองด้วยวุ้ย

เค้าแนะนำว่า ถ้าสนใจสอบถามเกี่ยวกับ สุนัขตำรวจ โทรไป (เวลาราชการ)
"กองกำกับการสุนัขตำรวจ หลักสี่ เบอร์กลาง 02-573-7125"

สรุป รักหมา จริงๆ คิดก่อน share นะครับ... (เกี่ยวกันไหม)

ขอบคุณข้อมูลจาก

  • https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/295090937175648
  • https://www.facebook.com/Dogilike
  • http://pantip.com/topic/32006164
  • http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU9USTVNVEV6T0E9PQ==&sectionid=

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"อีกไม่เกิน 3 เดือน" วัดพระบาทน้ำพุ ต้อง ..ปิดลง!!(ถ้าไม่อ่าน) ” ขอทานน้ำใจ “ 1 แชร์ 1 ธรรมทาน”

 ่อีกไม่เกิน 3 เดือน" .....วัดพระบาทน้ำพุ ต้อง ..ปิดลง!!(ถ้าไม่อ่าน) ” ขอทานน้ำใจ “ 1 แชร์ 1 ธรรมทาน” ... “ 15 บาท ของท่าน ช่วยผู้ป่วยโรคเอดส์ " ทุกคนในนี้มีมือถือใช่ไหมครับ ".....ขอซัก 15 บาทได้ไหม เพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ว่ามือถือคุณจะเครื่องละพัน หรือเครื่องละหมื่น ขอแค่ 15 บาท... " บริจาคให้วัดพระพุทธบาตรน้ำพุ "...ง่ายๆ แค่กด 1900-222-200 และกด 1 แค่นี้ คุณก็...ได้ร่วมทำบุญแล้วค่ะ เรื่องจริง โทรไปเช็คที่วัดแล้ว) ..ขอบคุณสำหรับทุกสาย
ทานบารมี อนุโมทนา ด้วยนะครับ 

หลายท่านจะได้รับการส่งต่อข้อความประมาณนี้ คล้ายๆ ประมาณนี้ ประมาณว่า อีกไม่เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุ ต้องปิดตัวลง พร้อมกับข้อความเชิญชวนให้บริจาคเงินช่วยเหลือ ผ่านทางหลากหลายช่องทาง เช่น กดเบอร์ 1900-222-200 และช่องทางอื่นๆ อีก เช่น เบอร์บัญชีของวัด 

เข้าใจว่าหลายๆ คนที่กดแชร์ข้อความนี้ มีความปรารถนาดี อยากจะช่วยเหลือวัด รวมถึง คิดด้วยว่า ไม่เห็นจะดูเป็นช่องทางอะไรเลย อย่างน้อย แชร์ๆ ไป ช่วยกันได้

ประเด็นปัญหาของการแชร์สิ่งดีๆ ที่น่าจะดีนี้คือ

1. มีการบิดเบือนข้อความจริง เพราะวัดพระบาทน้ำพุ มีสถานะทางการเงินค่อนข้างมั่นคง อยู่ได้โดยไม่ต้องได้รับเงินบริจาคเพิ่มเติมมากกว่า 3 เดือน 
(อ้างอิง: การให้สัมภาษณ์ของหลวงพ่ออลงกตเองที่เผยแพรเมื่อ 23 เม.ย. 2556) ตามนี้เลยครับ 


ซึ่งในกรณีนี้ทางวัด ได้ขอร้องให้หยุดแชร์ (share) ข้อความข้างต้น เพื่อไม่ให้มีปัญหา หรือเป็นประเด็นต่อตัววัดเอง ตามภาพเหล่านี้




2. มีความสงสัยในประเด็นของการบริจากเงินผ่านการกดเบอร์ 1900-222-200 ยากจะสรุปอย่างนี้นะครับเบอร์ 1900-222-200 เป็นของวัดพระบาทน้ำพุ จริงไหม? กดแล้ววัดได้เต็มๆ หรือเปล่า จากที่ผมค้นหา พบว่า ทาง Facebook ของวัดพระบาทน้ำพุ มีการลงรายละเอียดไว้ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2010 เวลา 1:04 น. ว่า 

    1. เป็นเบอร์ที่ทางวัดได้รับเงินจริง 
    2. อัตราการบริจาคเป็นครั้งละ 15 บาทโดยที่ทางวัดจะได้จาก TOT 15 บาท และระบบอื่นเช่น GSM, DTAC, TRUEMOVE ทางวัดจะได้ 13.50 บาท
    3. ตรวจสอบผ่าน Facebook ทางวัด เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2557 มีข้อความชี้แจงว่า ทางวัดได้รับเงินบริจาคเต็มจำนวน
    4. อันนี้ผมสรุปแทนแล้วกันนะครับ ว่าข้อมูล ณ. ปัจจุบัน เบอร์ 1900-222-200 เป็นของวัดจริงๆ และวัดได้เงินครบตามที่ท่านประสงค์ แต่ในอดีตอาจจะไม่ใช่ และในอนาคตก็คงไม่มีใครบอกได้  (ความคิดเห็นส่วนตัว หากไม่สะดวก กดได้ แต่หากสะดวก เข้าเว็บตรวจสอบ โอนเงินดีกว่า)
แน่นอนครับ ว่าทางวัดพระบาทน้ำพุ ยังคงต้องการความช่วยเหลือ จากการบริจาคเงิน ในการบริหารจัดการกิจกรรม ที่ดีมากๆ นี้ ของทางวัดและหลวงพ่ออลงกต และบทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อให้หยุดบริจาค ช่วยเหลือ เพียงแต่การจะบอกกล่าว ให้ใครช่วยเหลือนั้น ควรจะเป็นเรื่องจริง มิใช่เรื่องโกหก เพื่อให้คนหลงเชื่อ เพราะอาจจะส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงได้ เช่น คนอาจจะมองว่า หากวัดมีการดำเนินการกิจกรรมจริงๆ แล้ว ทำไมต้องโกหก เพื่อให้บริจาคด้วย เรื่องเล็กๆ อาจจะส่งผลใหญ่ได้เช่นกันนะครับ 

สรุป วัดพระบาทน้ำพุ ยังคงดำเนินการช่วยเหลือผู้ป่วยและเด็กกำพร้าอย่างเต็มที่ และมีกาบริหารให้มั่งคง จนไม่ปิดใน 3 เดือนอย่างที่เป็นข่าวแน่ๆ  ส่วนการบริจาค แนะนำให้เข้าตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของทางวัด น่าจะดีที่สุด เชื่อว่ามีจิตกุศลที่จะช่วยเหลือแล้ว การตรวจสอบคงไม่ลำบากมากนัก เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพ นำข้อความผิดๆ เหล่านี้ ไม่กล่าวอ้าง ซึ่งอาจจะทำให้ทางวัด เสียความเชื่อถือ และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมของวัดในอนาคตได้ 

อ้างอิง
http://phrabatnampu.org/
https://www.facebook.com/phrabatnampu
http://board.postjung.com/688192.html
http://hilight.kapook.com/view/85105

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

เตือนภัย แมลงหน้า ม.เกษตร ห้ามตบ อันตรายถึงตาย

เตือนภัยทั่วโลก แมลง (หรือหนอน?) ชนิดนี้ ถ้ามาเกาะบนตัวคุณห้ามตบเด็ดขาด

หัวข้อนี้ เป็นข่าวลือ ที่สร้างความแตกตื่น และมีการสร้างข่าวอย่างต่อเนื่อง แบบมั่วไป มั่วมา โดยไม่คิดจะหาข้อมูลจริงจัง แถมยังตื่นตะหนก ขนาดมองผึ้ง เป็นแมลงก้นกระดก เอามาแชร์กันต่อ เป็นเรื่องเป็นราวได้อีก 

ลองดูลำดับของข่าวลือนี้กันครับ เริ่มจากรูปนี้ ที่มาการนำภาพของ แมลงก้นกระดก มาวางเทียบกับแผลพุพองที่ดูน่ากลัวมาก แต่ ไม่ได้เกิดจากแมลงก้นกระดกแต่อย่างใด แถมข้อความที่เขียน ก็บอกว่าพิษนั้น อันตรายถึงตายได้ ถึงขนาดบอกว่า "ให้ช่วยกันแชร์ แชร์แล้วช่วยชีวิตคนได้" (ข้อความแบบนี้ มันอยู่ในกลุ่ม หลอกให้แชร์ชัดๆ )
ซักพัก ก็มีภาพการชี้แจง แผลที่เกิดจากพิษของแมลงก้นกระดก กันออกมาให้เห็นความจริง คือ ต้องระวังละ แต่ไม่ขนาดที่จะต้องตื่นตูมกันขนาดนั้น 


สรุปรายละเอียดของ แมลงชนิดนี้ ได้ประมาณว่า นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ก็แมลงก้นกระดกเป็นแมลงที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน มักพบตามทุ่งนา และร่องสวนผัก ในตัวแมลงจะมีสารพิษ "เพเดอริน" หากพบเห็นห้ามไปบี้ตัวแมลงเด็ดขาด เพราะจะทำให้สารพิษถูกขับออกมาและเข้าสู่ตัวเราทันที ถ้าสัมผัสผิวจะมีอาการแสบ ไหม้ หรือหากสัมผัสถูกตาก็อาจติดเชื้อ จนมีผลต่อการมองเห็นได้ แต่ไม่ถึงขนาดทำให้ตาบอด 100% อย่างที่มีข้อมูลแชร์กัน

            สำหรับวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อถูกพิษของแมลงก้นกระดกนั้น นพ.จินดา แนะนำว่า ถ้าถูกพิษให้รีบล้างผิวหนังด้วยน้ำเปล่าทันที แต่ถ้ามีผื่นแดงขึ้นก็ให้ทาสเตียรอยด์ชนิดเข้มข้น-ปานกลาง แต่ถ้าพิษรุนแรงขนาดทำให้เกิดแผลที่มีน้ำเหลืองไหลออกมา ให้ประคบด้วยน้ำเกลือก่อนจะทาสเตียรอยด์

สรุปข้อควรระวังเมื่อเจอ 

            1. อย่าบี้มัน เพราะสารพิษอยู่ในร่างกายแมลง ให้จับไปปล่อยหรือเอาเทปกาวแปะ (ปกติมันไม่กัด หรือกัดก็ไม่มีพิษ)
            2. มันมาตามไฟ และมักลอดมุ้งลวดได้ ดังนั้นช่วงที่ระบาดมาก ๆ ให้เปิดไฟล่อไว้นอกบ้าน ไม่ก็เปิดแอร์นอน 
            3. ตัวที่ตายแล้วก็ปล่อยพิษได้ ดังนั้นตื่นเช้ามาควรสะบัดผ้าห่ม ปัดที่นอน และดูดี ๆ ก่อนเข้านอนว่ามีซากแมลงตายอยู่ไหม
            4. ถ้าเข้าตา ล้างให้มาก ๆ อันนี้แหละที่ควรรู้ 

เมื่อคนเข้าใจ ก็ดีไป แต่ก็มีอีกหลายคน ที่ได้รับความหวังดีนี้ จากเพื่อนๆ และก็ไม่ได้เช็คข่าว รับแต่ความกลัว โดยไม่สนความจริง เกิดไปเจอรูปผึ้ง หน้า ม. เกษตร นี้เข้า 

ด้วยความหวังดีอีก ก็เลยเอาข้อความที่กลัวขึ้นสมองนั้น ค้นหาอย่างฉับไว้ มาปะติดปะต่อกัน ส่งต่อได้มาเป็นแบบนี้
 

บางคนกลัวไม่เห็นภาพ ไปค้นหาภาพ แมลงก้นกระดกมาแปะติดให้ดูกันอีกที เทียบกันให้เห็นๆ (เออ.. ดูไหมว่ามันไม่เหมือนกัน หรือมีอำนาจมืดอะไรมาบังตา??) ได้มาเป็นรูปนี้



สรุป 
  • แมลงนี้มีชื่อนะครับ ว่าแมลงก้นกระดกไม่ใช่ แมลงสายพันธุ์ใหม่อะไร และก็เชื่อว่าชาวบ้านรู้จักกันมานานแล้วละ แต่ชาวกรุง ชาวเน็ต คงไม่รู้ เพราะวันๆ อยู่แต่กับคอม
  • แมลงนี้ ชื่อแมลงก้นกระดก หรือด้วงก้นกระดก หรือ แมลงเฟรชชี่ มีพิษจริง แต่ไม่ถึงตาย (ถ้าไม่กินเข้าไป) และไม่ได้ทำให้เป็นแผลขนาดในภาพที่ส่งต่อๆ กัน  
  • ส่วนที่เกาะอยู่บนสะพานลอย ที่บอกว่าเป็นหน้า ม.เกษตร มันเป็น ผึ้ง นะครับ ไม่ใช่แมลงตัวนี้ สังเกตดูนิด


ขอบคุณที่มาข้อมูลที่ถูกต้องจาก
http://hilight.kapook.com/view/99918
http://webboard.news.sanook.com/forum/index.php?topic=3815052
http://headline.bungkan.com/data/1/1939-1.html



วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ปลาดอร์รี่ คือ ปลาสวาย ไม่ควรกิน อย่าโดนหลอก จริงๆ คือปลาอะไร

ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ เกิดเป็นกระแส เมื่อมีคนส่งต่อข้อความกันว่า อย่าโดนหลอก ทำเอาหลายคนตื่นตูมกันใหญ่ บอกไม่กินแล้ว กินแล้วไม่อร่อย จริงๆ คืออะไร

มาทำความรู้จักกับ ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ปลาดีมีคุณค่าทางโภชนาการ โดย วงศ์อร อร่ามกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านประมง

ช่วงนี้ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ปลาดอรี่ ปลาสวาย เกิดเป็นกระแสพูดกันให้ได้ยินเข้าหู ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีข้อมูลอยู่พอสมควร จึงขอหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาชี้แจงแถลงไขสักครั้ง และเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันระหว่างสายพันธุ์ปลาที่โดนพาดพิงถึงในที่นี้ จะขออธิบายก่อนว่าเรากำลังพูดกันถึงปลา 2 สายพันธุ์หลัก

สายพันธุ์แรกคือ ปลาดอรี่ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า จอห์น ดอรี่ (John Dory) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zenopsis conchifera อาศัยอยู่ในทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นปลาตัวกลมๆ อ้วนๆ เนื้อปลามีสีขาว รสชาติอร่อย และมีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยมานานแล้ว เเต่ข้อเสียก็คือราคาเเพงมาก


สายพันธุ์ที่สองคือ ปลาในกลุ่มแพนกาเซียสหรือปลาสวาย ซึ่งปลาในตระกูลนี้มีหลายชนิด เช่น ปลาบึก ปลาคัง ปลาเทโพ เป็นต้น สำหรับสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับปลาตระกูลแพนกาเซียสที่มีการพูดถึงกันอยู่ขณะนี้คือ ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Pangasius Hypophthalmus” มีลักษณะเนื้อสีขาว รสชาติอร่อยใกล้เคียงกับปลาจอห์นดอรี่ แต่ราคาถูกกว่า จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อดอร์รี่ อย่างติดปากมาเนิ่นนาน

ประเทศไทยมีการนำเข้าปลากลุ่มแพนกาเซียสดอร์รี่นี้จากประเทศเวียดนามเป็นส่วนใหญ่ โดยที่เวียดนามนั้นมีปลาแพนกาเซียส 2 ชนิดหลักๆคือ BASA และ TRA เป็นเหตุให้เกิดความสับสนเรียกปลาชนิดนี้กันไปหลายชื่อ เช่น ปลาบาซาบ้าง ปลาเผาะบ้าง ดังนั้น กลุ่มผู้นำเข้าจึงต้องการสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง และเริ่มมีการพูดคุยกันถึงชื่อทางการค้าที่จะใช้ตรงกัน

“แพนกาเซียสดอร์รี่” เป็นชื่อสากล ขณะที่ “สวาย” เป็นชื่อท้องถิ่น
แม้ว่าผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าปลาแพนกาเซียสดอรี่คือปลาสวายสายพันธุ์หนึ่งก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกส่วนหนึ่งยังสับสนระหว่าง ปลาจอห์นดอรี่กับปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ผู้นำเข้าและผู้ค้าเองก็พยายามที่จะทำความเข้าใจกับผู้บริโภคให้ถูกต้อง จึงมีการระบุชื่อสากลอย่างแพนกาเซียสดอร์รี่ไว้ เพื่อให้สามารถเข้าใจตรงกันได้ทั่วโลก ขณะที่คำว่า สวาย หรือปลาสวาย เป็นชื่อท้องถิ่นที่ใช้กันเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น
ในที่สุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ออกหนังสือเรื่องแนวทางการแสดงฉลากเนื้อปลาสวายหรือเนื้อปลาในตระกูลแพนกาเซียสเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 เพื่อเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติร่วมกันสำหรับผู้ค้าและสร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค โดยระบุให้ปรับแก้ไขการแสดงฉลากให้ถูกต้อง ภายในวันที่ 1 มกราคม 2555 ความว่า
1. หากผู้ใดมีความประสงค์จะนำเข้าปลาสวายที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius Hypophthalmus เพื่อจำหน่าย ฉลากจะต้องแสดงชื่อภาษาไทยกำกับว่า ปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่
2. หากผู้ใดมีความประสงค์จะนำเข้าปลาโมง หรือปลาเผาะ หรือปลาบึก ซึ่งเป็นปลาในตระกูล Pangasius เพื่อจำหน่าย ให้แสดงชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius spp ฉลากจะต้องแสดงชื่อภาษาไทยกำกับว่า ปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่
จากประกาศของ อย.ดังกล่าว ทำให้ต้องมีการระบุคำว่า แพนกาเซียส ลงไปบนฉลาก ซึ่งหมายถึงสายพันธุ์หนึ่งของปลาสวายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว และผู้ค้าทุกรายก็ถือปฏิบัติตามคำสั่งของทางราชการอย่างเคร่งครัด


อย่างไรก็ตาม แม้ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ที่นำเข้าจากเวียดนามและปลาสวายไทยจะจัดเป็นปลาชนิดเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านคุณภาพเนื้อปลา เนื่องจากวิธีการเลี้ยงและสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงตลอดจนอาหารที่ใช้ ส่งผลให้ลักษณะของเนื้อปลา สีสัน และกลิ่น แตกต่างกัน นอกจากนี้ลักษณะการวางจำหน่ายของปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ก็แตกต่างกับปลาสวายที่ขายกันตามตลาดสดทั่วไปในเมืองไทย”


นางสมหญิงเปี่ยม สมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ประเทศเวียดนามผลิตปลาสวายที่เลี้ยงให้มีเนื้อสีขาวชมพูและตั้งชื่อว่า"ดอลลี่"นั้น เป็นการสร้างมูลค่าให้กับปลาสวาย โดยการใช้ชื่อนี้ทำให้คนไทยจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นปลาชนิดใหม่ ประกอบกับปลาสวายที่เลี้ยงในบ้านเราจะมีเนื้อสีเหลือง ไขมันมาก เพราะได้รับอาหารประเภทแป้งและไขมัน ซึ่งเป็นการผลิตแบบลดต้นทุน และเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่อย่างหนาแน่น ทำให้เศษอาหารที่ให้เหลือปลากินไม่หมดเกิดการเน่าเสียหมักหมมอยู่ก้นบ่อ ปลาที่เลี้ยงจึงมีกลิ่นคล้ายกลิ่นโคลน วิธีแก้ไขเพียงย้ายหรือถ่ายน้ำให้สะอาด 5-7 วันก่อนการจับก็จะหมดกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้ ส่วนการเลี้ยงปลาสวายที่ให้เนื้อออกสีขาวชมพูเช่นเดียวกับปลาสวายของเวียดนามนั้น ไม่ยากสามารถทำได้โดยการให้อาหารที่เหมาะสมไม่มีไขมันมากเกินไป และเลี้ยงในที่น้ำถ่ายเทได้ดีสม่ำเสมอ ก็จะได้คุณภาพปลาสวายที่มีเนื้อขาวชมพูเช่นเดียวกับปลาสวายเวียดนามเช่นกัน (อ้างอิง http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/policy/20110804/403324/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html)

ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ เป็นปลาเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ในตระกูลเดียวกับปลาสวาย ปลาคัง ปลาเทโพ และปลาบึก เลี้ยงได้ในน้ำจืด จัดเป็นปลาหนัง ไม่มีเกล็ด เนื้อนุ่ม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น (Essential Amino Acids) อย่างครบถ้วน มีกรดไขมันจำเป็นอย่างโอเมก้า -3  วิตามินบี 2 ซึ่งร่างกายต้องใช้ในการเผาผลาญโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีวิตามินดีที่กระดูกจำเป็นต้องใช้ในการสะสมแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน และแมกนีเซียมด้วย 

ล่าสุด ขอคัดลอกข่าวของ ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง ที่อธิบายถึงปลาดอร๋รี่ผ่านสื่อว่าเป็นการเรียกผิดแบบไทยที่ชอบเรียกอะไรสั้นๆ ปลาดอร์รี่ที่แท้จริงนั้น เป็นปลาทะเลน้ำลึก ส่วนดอร์รี่ที่เรียกกันผิดๆ เป็นปลาน้ำจืด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangsius Hypophthalmus และผู้นำเข้าใช้ชื่อทางการค้าว่า Pangsius Dory คำว่า Pangsius แปลว่าปลาสวายอยู่แล้ว และมีการเติมคำว่า Dory ลงไป เพื่อให้ความหมายว่าปลาสวายเนื้อสีขาว เพราะมีลักษณะพิเศษ เนื้อไม่เหลืองเหมือนปลาสวายบ้านเรา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและอาหารที่ใช้เลี้ยงต่างกัน เพราะปลาสวายที่เลี้ยงในเวียดนาม บริเวณปากแม่น้ำโขงที่มีกระแสน้ำไหลแรง ปลาต้องออกแรงว่ายน้ำเยอะ ไขมันเลยมีน้อย ประกอบกับการเลี้ยงที่ไม่ให้อาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพดเนื้อปลาจึงไม่เหลืองเท่านั้นเอง...นับเป็นคำอธิบายสั้นๆ ที่สร้างความเข้าใจได้อย่างง่ายดายทีเดียว 

การจะให้คนไทยได้บริโภคโปรตีนจากเนื้อปลากันอย่างกว้างขวางนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะปลาเป็นอาหารสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป คนทุกระดับควรจะได้กินโปรตีนเนื้อปลาที่สะอาด ปลอดภัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนในชาติอย่างที่ทราบกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นแพนกาเซียสดอร์รี่  สวาย  ช่อน  เทโพ หรือ แซลมอน  ก็ล้วนแต่ดีต่อการบริโภคทั้งนั้น ... 

สรุปโดยผู้เขียน:
จะว่าโดนหลอกก็ไม่เชิงนะครับ ต้องบอกว่าไม่รู้ซะมากกว่า จะบอกว่าเป็นปลาสวายที่เรารู้จักกันเลย ก็ไม่เชิง เป็นญาติๆ กันมากกว่า หรือหากจะบอกว่าเป็นปลาสวายเหมือนกันก็เป็นปลาสวายที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากที่เราเห็นในไทย ทำให้โตไม่เนื้อไม่เหมือนกัน ส่วนจะกินหรือไม่ ก็แล้วแต่ครับ ความจริงคือ มันเป็นปลาน้ำจืด ที่มีคุณค่า มีโอเมก้า 3 ที่ราคาไม่แพงตัวหนึ่ง ที่ทุกท่านสามารถเลือกที่จะทานได้ตามใจชอบครับ ไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน ไม่มีใครบังคับ ขอแค่ว่าอย่าไม่กินเพียงเพราะว่ามีอคติว่าเป็นปลาสวาย หรือกลัวถูกหลอก ก็แล้วกันครับ


ขอบคุณที่มาข้อมูล:
http://www.cpfworldwide.com/th/mdcntr/fact_sheet_detail.aspx?id=2609
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=870073
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/policy/20110804/403324/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html

ข่าวลือ ข่าวลวง ที่ส่งต่อผ่านจดหมายออน์ไลน์ และสื่อออน์ไลน์ต่างๆ อย่างเฟตบุค หรือ ไลน์ มาหาข้อเท็จจริงกัน

Blog นี้ เกิดจากผู้เขียนเอง เบื่อ กับข่าวลือ ข่าวลวง ที่มีมาตั้งแต่ยุค Fwd Mail จนถึงยุคสังคมออน์ไลน์ อย่าง Facebook และ Line แต่ผู้เขียนเอง ยังคงได้รับการส่งต่อ Hoax อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด ทั้งจากคนที่ไม่รู้จัก หรือจากคนใกล้ตัวอย่างญาติ พี่น้อง หรือนักเล่น net มือใหม่ อย่างพ่อแม ของผู้เขียนเอง



เวลาได้อะไรอย่างนี้มา ก็ต้องคอย เป็นคนที่มา search หา ที่มา หาข้อเท็จจริง ด้วยเจตนา ไม่อยากให้ตื่นตะหนก หรือมีความเชื่ออะไรผิดๆ ส่งต่อกันไปในสังคมนี้ และก็คอยแนะนำ ไปด้วยความกังวล ว่าจะโดนคนนั้นๆ ไม่ชอบหน้าเอา

บางครั้งก็ต้อง search ซ้ำๆ บางคนแนะนำไปแล้ว ก็ไม่สนใจ ไม่เคยมองถึงผลกระทบ จากการส่งต่อความเชื่อผิดๆ ไป จะบอกว่าเป็นคนที่ไม่มีความคิดก็ไม่ใช่ ไม่มีความรู้ก็ไม่ใช่  แต่ไม่ใส่ใจ

จึงขอสร้าง blog นี้ไว้รวบรวม เพื่อทุ่นแรงตัวเอง ในการตอบ การหา และหวังว่าจะเป็นที่ที่ช่วยให้ความเข้าใจกับสังคมนี้ ต่อไป

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้มีความรู้ทุกๆ ท่าน ที่ช่วยชี้แจง หาข้อเท็จจริง ในเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้เขียนรวบรวมมาไว้ในที่นี้ด้วยครับ